วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

3. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ( Review of Related Literatures )

3. ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ( Review of Related Literatures )

                 ธัชพนธ์ โชคสุชาติ  (http://www.bestwitted.com/?tag)  กล่าวว่า ทบทวนเอกสารและงานวิจัย (วรรณกรรม) ที่เกี่ยวข้องการทบทวนวรรณกรรม หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเอกสารหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้วิจัยกำลังจะทำการศึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี แนวคิด อันเชื่อมโยงมาสู่การกำหนดกรอบแนวคิดและตัวแปรที่เกี่ยวข้องซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ

http://www.elearning.ns.mahidol.ac.th/km/images/stories/researchknowledge/R2R4/__17_pdf.pdf 
ได้รวบรวมไว้ว่า เพื่อเป็นการฟื้นฟูความรู้ในเบื้องต้น ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเป้าหมายของการทบทวนวรรณกรรม จะประกอบด้วยเป้าหมายหลัก ดังนี้
1) การหาความสำคัญของปัญหา
2) การหาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการทำวิจัย
3) แสดงความรู้ปัจจุบันที่มีอยู่ และดูว่ามีองค์ความรู้ใดบ้างที่ยังขาดหายไป
4) สรุปกรอบแนวคิดที่จะทำวิจัย

http://thethanika.blogspot.com/2011/06/blog-post_476.html   ด้รวบรวมไว้ว่า หลักการสำคัญในการศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องดังนี้
           1.เพื่อเป็นการค้นคว้าหาหัวข้อวิจัยว่า มีประเด็นปัญหาอะไรที่น่าจะนำมาเป็นปัญหา(ซึ่งผู้วิจัยยังไม่ทราบว่าจะทำเรื่องอะไร)
           2.เพื่อศึกษาว่าในเรื่องที่ผู้วิจัยจะทำวิจัยนี้ มีใครเคยทำเรื่องนี้มาบ้าง ถ้าทำแล้วมีผลอย่างไร จะต้องเสริมจุดไหนที่ยังไม่ชัดเจน
 (ซึ่งแสดงว่าเรื่องที่จะทำวิจัย ยังไม่ชัดเจนถึงขนาดตั้งเป็นชื่อเรื่องได้


สรุป

            ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง หมายถึง การค้นคว้าศึกษารวบรวมและประมวลผลงานทางวิชาการ  เช่น  ผลงานวิจัย  บทความเอกสารทางวิชาการ  และตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหรือประเด็นที่ทำการวิจัยเพื่อประเมินประเด็น  แนวความคิด  ระเบียบวิธีการวิจัย  ข้อสรุป  ข้อเสนอแนะจากผลงานวิจัยหรือเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นของปัญหาของการวิจัยก่อนที่จะลงมือทำการวิจัยของตนเองและในบางครั้งอาจมีการทบทวนเพิ่มเติมหลังจากที่ได้ลงมือทำไปบ้างแล้ว


แหล่งที่มา
ธัชพนธ์ โชคสุชาติ . [ออนไลน์]. http://www.bestwitted.com/?tag.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555
                          เข้าถึงเมื่อ 14 พฤศจิกายน  2555.



2.ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย (Background & Rationale)


        2.ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย (Background & Rationale)
             
              ยุทธ   ไกยวรรณ์   (2552:21)  กล่าวว่า  คือ การนำเสนอสภาพและปัญหาของการวิจัยจะเป็นกระบวนการกล่าวสภาพ ทั่ว ๆ ไป ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย กล่าวถึงปัญหาของการวิจัยว่า มีปัญหาอะไร ทำไมถึงต้องทำการวิจัยเรื่องนี้  โดยกล่าวอ้างถึง  สภาพที่เ ป็นอยู่ในปัจจุบันของเหตุการณ์และปัญหาที่ต้องทำการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องอ้างถึงที่มา แห่งเหตุการณ์หรือปัญหานั้น ๆ  ว่าผู้วิจัยนำมาจากแหล่งใด  ผู้วิจัยจะนำเสนอจากกว้างไปหาแคบ โดยเนื้อหาที่จะนำเสนอประกอบด้วย
                1. สภาพทั่ว ๆ ไปที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย
                2. ปัญหาการวิจัย
                3. ความสัมพันธ์ที่บ่งบอกว่า ทำไมผู้วิจัยสนใจเรื่องนี้
                4. นำเข้าสู่หัวข้อการวิจัยในตอนท้ายของการนำเสนอภูมิหลัง
                5. กล่าวถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทำวิจัยเรื่องนี้     
 http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm กล่าวไว้ว่า  ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัย ต้องสามารถแสดงให้เห็นว่า มีความรู้พื้นฐาน และเข้าใจ ในปัญหาที่กำลังจะศึกษา อย่างถ่องแท้ ชัดเจน ทั้งทางทฤษฏี และปฏิบัติ ตลอดจนสามารถ เชื่อมโยงเข้าสู่กรอบความคิด ของการวิจัยนี้ได้ สามารถระบุถึง ความสำคัญของปัญหา รวมทั้งความจำเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัย ในเรื่องนี้ อย่างมีเหตุมีผล ระบุได้ว่า มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้ จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร

             พิสณุ    ฟองศรี  (2549:21)  ได้กล่าวไว้ว่า
การวิจัย มีแหล่งปัญหาต่างๆไม่น้อยกว่า 15 แหล่ง เช่นจากความสนใจของผู้วิจัย ประสบการณ์ของ
ผู้วิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่สงสัยหรือประสบปัญหา การเข้าร่วมอบรม ประชุม สัมมนา การเสนอแนะหรือมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา การอ่านเอกสาร หนังสือ ตำรา วารสารต่างๆ จากรายงานการวิจัย บทคัดย่อ หรือบทความงานวิจัย คอมพิวเตอร์ ทฤษฎีต่างๆ จากข้อโต้แย้ง จากความเปลี่ยนแปลงหรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น จากแหล่งทุนต่างๆ และแนวทางการวิจัยของหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น

          สรุป
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้วิจัย ต้องสามารถแสดงให้เห็นว่า มีความรู้พื้นฐาน และเข้าใจ ในปัญหาที่กำลังจะศึกษา อย่างถ่องแท้ ชัดเจน ทั้งทางทฤษฏี และปฏิบัติ ตลอดจนสามารถ เชื่อมโยงเข้าสู่กรอบความคิด ของการวิจัยนี้ได้ สามารถระบุถึง ความสำคัญของปัญหา รวมทั้งความจำเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัย ในเรื่องนี้ อย่างมีเหตุมีผล ระบุได้ว่า มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้ จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร

แหล่งที่มา 
ยุทธ  ไกยวรรณ์.  (2550).  หลักการทำวิจัยและการทำวิทยานิพนธ์.  กรุงเทพฯ : บริษัทพิมพ์ดี  จำกัด   http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htmเข้าถึงเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555.  
พิสณุ   ฟองศรี.  (2549).  วิจัยชั้นเรียน:หลักการและเทคนิคปฏิบัติ.  ห้างหุ้นส่วนจำกัด พิมพ์งาม. 

1.ชื่อเรื่องของการทำวิจัย


1.ชื่อเรื่อง ( The Title )
ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์ และ  อัจฉรา ชำนิประศาสน์  (2537:33)   กล่าวว่า การตั้งชื่อเรื่องวิจัยมีแนวคิดแบ่งออกได้เป็น2แนวคิดคือการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้มีความหมาย มีความยาวเท่าใดก็ได้แต่ต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน ให้ผู้อ่านงานวิจัยรู้ว่าทำการวิจัยอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อใด การตั้งชื่อเรื่องวิจัยอย่างสั้นๆที่บอกความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ส่วนรายละเอียดอื่นๆจะอยู่ในขอบเขตของการวิจัย

เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์  (2534:32)  กล่าวว่า ต้องเป็นชื่อที่กะทัดรัด มีเนื้อความที่ชัดเจน มีความหมายในตัวมันเอง โดยสามารถสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบได้ต้องตั้งชื่อให้แสดงถึงมโนมติ (Concept) ของตัวแปรหรือแสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรในปัญหานั้นๆ ต้องใช้ภาษาให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยของผู้อื่น ถึงแม้ประเด็นที่ศึกษาจะคล้ายกันก็ตาม

Eduzones PR News Follow ( http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 )  กล่าวว่า ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัย ว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร

                สรุป
                ชื่อเรื่อง หมายถึง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยเป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นการสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเราสนใจที่จะทำเรื่องอะไร  ชื่อเรื่องควรมีความกะทัดรัดชัดเจนเข้าใจง่าย เพื่อระบุเรื่องที่จะทำอะไรที่แน่นอน

              แหล่งอ้างอิง
ลัดดาวัลย์  เพชรโรจน์ และ อัจฉรา ชำนิประศาสน์ .  (2537).  ระเบียบวิธีการวิจัย. 
                   กรุงเทพฯ : พิมพ์ดีการพิมพ์จำกัด.
เอกวิทย์    แก้วประดิษฐ์ .  (2534).   การวิจัยเทคโนโลยีการศึกษา.  กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น จัดพิมพ์.
Eduzones PR News Follow[ออนไลน์].  http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 
                  เข้าถึงเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555